สำหรับธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดการและดำเนินการตามคำสั่งซื้อจากหลายช่องทางการขายและสถานที่จัดส่งนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ระหว่างการสั่งซื้อและการจัดส่งนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย เช่น การตรวจสอบคลังสินค้า โปรไฟล์คำสั่งซื้อ และการคืนสินค้า
หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้คือ ระบบจัดการออเดอร์ที่สามารถติดตามระดับสินค้าในคลังต่างๆ รวบรวมข้อมูลคำสั่งซื้อจากหลายช่องทางการขาย ปรับปรุงกระบวนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพ จัดส่งคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว จัดการการคืนสินค้าและการเปลี่ยนสินค้า และรวมการรายงานไว้ที่ศูนย์กลางที่เดียว
ในคู่มือนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ภารกิจที่ระบบจัดการออเดอร์ควรทำ ไปจนถึงประโยชน์ของการมีแดชบอร์ดแบบรวมศูนย์ และเราจะช่วยคุณประเมินระบบจัดการออเดอร์ประเภทต่างๆ ที่ธุรกิจของคุณต้องการ
ระบบจัดการออเดอร์ (Order Management System หรือ OMS) คือเครื่องมือดิจิทัลที่ใช้ในการติดตามยอดขาย คำสั่งซื้อ สินค้าในคลัง และการจัดส่งสินค้า ระบบนี้ช่วยลดความยุ่งยากของวงจรการสั่งซื้อ ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจนถึงการจัดส่ง ทำให้กระบวนการมีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยรวมกระบวนการต่างๆ เช่น การบันทึกคำสั่งซื้อ การจัดสรรทรัพยากร และการตรวจสอบสถานะคำสั่งซื้อเข้าด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น Shopify ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ มีบริการระบบจัดการคำสั่งซื้อในตัวเป็นส่วนหนึ่งของบริการ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถประมวลผลคำสั่งซื้อจากหลายช่องทางได้ด้วยระบบของ Shopify ไม่ว่าจะเป็นการซื้อในร้านค้า การขายในร้านค้าออนไลน์ และตลาดอื่นๆ และจัดการทั้งหมดได้จากแพลตฟอร์มเดียว
คุณสมบัติของระบบจัดการออเดอร์
ระบบจัดการออเดอร์เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมเพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดส่งสินค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจนถึงการจัดส่ง บางระบบ เช่น ระบบของ Shopify ยังมีระบบจัดการออเดอร์แบบกระจายเพื่อประสานงานการจัดส่งสินค้าจากคลังสินค้าและสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง
คุณสมบัติเด่นๆ มีดังนี้
- แดชบอร์ดการจัดการคำสั่งซื้อ: ศูนย์กลางสำหรับการตรวจสอบคำสั่งซื้อ กรอง จัดเรียง ค้นหา ติดแท็ก และเพิ่มบันทึกในคำสั่งซื้อ ติดตามสถานะการจัดส่ง ช่วยให้ติดตามการจัดส่งที่ผิดพลาดหรือล่าช้าได้ง่าย ดูและจัดระเบียบคำสั่งซื้อทั้งหมดได้อย่างง่ายดายในอินเทอร์เฟซที่ปรับแต่งได้เพียงแห่งเดียว โดยแบ่งตามปลายทางการจัดส่ง สถานะการดำเนินการ รหัสสินค้า และอื่นๆ เพื่อการมองเห็นและการจัดลำดับความสำคัญที่ดีขึ้น
- การกำหนดเส้นทางการสั่งซื้ออัจฉริยะ: จัดลำดับความสำคัญและจัดสรรคำสั่งซื้อไปยังสถานที่ดำเนินการที่เหมาะสมที่สุดโดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ทำงานร่วมกับคลังสินค้าของคุณหรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอกเพื่อดำเนินการตามคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ระบบอัตโนมัติ: ใช้ Shopify Flow เพื่อทำให้กระบวนการดำเนินการ การจัดการสินค้าคงคลัง และการคืนสินค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ ลดการแทรกแซงด้วยตนเอง ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลาโดยการทำให้งานที่ซ้ำซากเป็นไปโดยอัตโนมัติ
- การดำเนินการจำนวนมาก: สร้าง ซื้อ และพิมพ์ฉลากการจัดส่ง ใบส่งสินค้า และแบบฟอร์มต่างๆ ในที่เดียว ดำเนินการจำนวนมากสำหรับการดำเนินการ การร้องขอ และการยกเลิกเพื่อเร่งกระบวนการ
- ความสามารถในการแก้ไขคำสั่งซื้อ: แก้ไขคำสั่งซื้อก่อนจัดส่งเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและลดข้อผิดพลาด มอบความยืดหยุ่นในการจัดการคำขอและการแก้ไขโดยไม่รบกวนการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ
- การสร้างคำสั่งซื้อฉบับร่าง: สร้างคำสั่งซื้อและใบแจ้งหนี้ได้จากทุกที่ ส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อชำระเงินออนไลน์หรือชำระเงินด้วยตนเอง รองรับสถานการณ์การขายที่หลากหลายด้วยความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นในการสร้างใบสั่งซื้อ
- การควบคุมสินค้าคงคลังแบบรวมศูนย์: ซิงโครไนซ์ระดับสินค้าในสต็อกทั่วทั้งสถานที่และช่องทางการขายของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้มีสินค้าในคลังมากเกินไปหรือสินค้าไม่พอขาย
- การวิเคราะห์คำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์: เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้ทันทีเกี่ยวกับคำสั่งซื้อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งซื้อที่สั่งซื้อ เปิดอยู่ ดำเนินการแล้ว จัดส่งแล้ว และส่งคืน ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและเพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
- การผสานการทำงานกับโลจิสติกส์ภายนอก: ผสานการทำงานกับพันธมิตรและระบบ 3PL ชั้นนำโดยใช้แอปสำเร็จรูปหลายร้อยแอปที่สร้างและดูแลโดยพันธมิตรระบบและการผสานการทำงานที่เชื่อถือได้
- การผสานการทำงานกับระบบ ERP: เชื่อมโยงกับระบบหลังบ้านเพื่อให้มีการกำกับดูแลทางการเงินและการดำเนินงานที่ครอบคลุม
- การปรับแต่งด้วย API: ใช้ API สำหรับการจัดการคำสั่งซื้อ ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการสร้างขั้นตอนแบบกำหนดเอง เพื่อจำลองและทำให้กระบวนการของระบบจัดการออเดอร์ที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกันเป็นระบบอัตโนมัติ
ระบบจัดการออเดอร์ทำอะไรบ้าง?
ระบบจัดการออเดอร์จะติดตามระดับสินค้าคงคลังตามช่องทางต่างๆ ทำให้กระบวนการจัดส่งสินค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติ จัดการสินค้าคืน จัดการข้อมูลลูกค้า และผสานข้อมูลการสั่งซื้อและข้อมูลทางการเงิน พูดง่ายๆ คือ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าที่สั่งซื้อ และแจ้งให้ทั้งคุณและลูกค้าทราบเมื่อสินค้ามาถึงแล้ว
ติดตามระดับสินค้าคงคลังตามช่องทางต่างๆ
เสน่ห์ของธุรกิจยุคใหม่คือแบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าในร้านค้าผ่านซอฟต์แวร์ที่จุดขาย (POS) บริการตนเองผ่านร้านค้าอีคอมเมิร์ซแบบขายตรงถึงผู้บริโภค ในตลาดออนไลน์ หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งผสมผสานกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์ด้วยตัวเลือกการจัดส่ง เช่น ซื้อออนไลน์ รับสินค้าที่ร้าน
ระบบจัดการสินค้าคงคลัง (OMS) ช่วยให้ผู้ค้าปลีกจัดการและซิงโครไนซ์สินค้าคงคลังในหลายสถานที่ที่พวกเขาจัดส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นจากร้านค้าปลีกจริง ศูนย์กระจายสินค้า หรือคลังสินค้า เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยแบรนด์อีคอมเมิร์ซที่วางแผนจะลงทุนในกระบวนการด้านการจัดการสินค้าคงคลังในช่วงสองปีข้างหน้า
ระบบจัดการออเดอร์ช่วยให้คุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้
- อัปเดตระดับสินค้าคงคลังทั่วทุกร้านค้าปลีกและศูนย์กระจายสินค้า
- โอนสินค้าคงคลังระหว่างร้านค้าปลีกและศูนย์กระจายสินค้า
- รับการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติเมื่อสินค้าบางรายการเหลือน้อย และทำการเติมสินค้าตามความเหมาะสม
- ทำความเข้าใจว่าสินค้าตัวไหนขายดีที่สุดในแต่ละภูมิภาคหรือช่องทางการขาย
โซลูชันระบบจัดการออเดอร์ เช่น Shopify มีการจัดการสินค้าคงคลังหลายสถานที่ ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสินค้าคงคลังได้มากถึง 1,000 คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และร้านค้า ระบบเหล่านี้ยังช่วยให้คุณสร้างใบสั่งซื้อสำหรับซัพพลายเออร์และโอนสินค้าคงคลังระหว่างสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งให้ภาพรวมที่ครอบคลุมของระดับสินค้าคงคลังและความเคลื่อนไหวต่างๆ
ทำให้กระบวนการจัดส่งออเดอร์เป็นไปโดยอัตโนมัติ
ระบบจัดการออเดอร์ที่ทันสมัยจะมองว่าห่วงโซ่อุปทานเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ผู้ค้าสามารถทำให้กระบวนการภายในของตนเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่การสั่งซื้อจนถึงการจัดส่ง
เพื่อผลักดันคำสั่งซื้อผ่านกระบวนการประมวลผล การหยิบสินค้า และการจัดส่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ค้าอีคอมเมิร์ซสามารถพึ่งพาระบบจัดการออเดอร์ได้ดังนี้
- รับชำระเงินในทุกปลายทางการจัดส่งหรือสกุลเงินของการสั่งซื้อ
- กำหนดเส้นทางการจัดส่งคำสั่งซื้อไปยังสถานที่จัดส่งที่ดีที่สุด รวมถึงคลังสินค้าที่จัดการโดยร้านค้า ร้านค้าปลีก หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (3PL)
- พิมพ์ฉลากจัดส่งและใบรายการสินค้าโดยอัตโนมัติ หากคุณดำเนินการจัดส่งคำสั่งซื้อเอง
- ติดตามสถานะการจัดส่งและการส่งมอบสินค้ากับผู้ให้บริการจัดส่งที่เชื่อมต่ออยู่
ระบบจัดการออเดอร์ที่ดีควรกำหนดเส้นทางคำสั่งซื้อไปยังสถานที่ที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของระยะทางที่ลูกค้าอยู่ใกล้กับคลังสินค้าของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของคำสั่งซื้อภายในตลาดปลายทางเดียวกัน การลดการจัดส่งแบบแยกส่วน หรือการจัดอันดับสถานที่ที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ ด้วย
จัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับ
ระบบจัดการออเดอร์ของคุณสามารถช่วยคุณหลีกเลี่ยงการทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจและมอบประสบการณ์การคืนสินค้าที่ราบรื่นสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังอาจรองรับการคืนสินค้าแบบบริการตนเองในร้านค้าออนไลน์ของคุณ ทำให้ลูกค้าสามารถเริ่มต้นการคืนสินค้าได้ทุกเมื่อที่สะดวกที่สุด โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการติดต่อตัวแทนทางโทรศัพท์หรืออีเมล
ระบบสามารถพิมพ์ฉลากส่งคืนโดยอัตโนมัติในกรณีที่ลูกค้าต้องการส่งสินค้าคืน ที่อยู่สำหรับส่งคืนจะแตกต่างกันไปตามที่ตั้งของลูกค้า ทำให้คุณสามารถรับและดำเนินการคืนเงินได้ในเวลาอันสั้นที่สุด ลูกค้ายังสามารถตรวจสอบสถานะการคืนสินค้าได้ด้วยระบบติดตามออนไลน์
ไม่เพียงเท่านั้น ทีมบริการลูกค้ายังได้รับข้อมูลทันทีเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าส่งคืน ลูกค้าทุกคนจะได้รับการบริการในระดับเดียวกันไม่ว่าจะซื้ออะไร ซื้ออย่างไร หรือซื้อจากที่ไหนก็ตาม
จัดการข้อมูลลูกค้า
ระบบจัดการออเดอร์สามารถทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ช่วยให้ผู้ค้าเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับลูกค้า รวมถึงคำสั่งซื้อก่อนหน้า มูลค่าตลอดอายุการใช้งาน และสถานที่ตั้งของลูกค้า
ด้วยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูลลูกค้าที่ได้รับจากระบบจัดการออเดอร์ ผู้ค้าสามารถปรับแต่งข้อความทางการตลาดที่ส่งไปยังลูกค้าได้อย่างละเอียดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการขายอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น แบรนด์อีคอมเมิร์ซสามารถดึงข้อมูลจากระบบจัดการออเดอร์เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าดังต่อไปนี้
- ลูกค้าที่อยู่ในยุโรป
- ลูกค้าที่มีมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) สูงกว่า 1,500 บาท
- ผู้ที่ซื้อสินค้าเพียงชิ้นเดียวและยังไม่กลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้ง
จากนั้นแบรนด์จะพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มลูกค้า ลูกค้าในยุโรปจะไม่ได้รับอีเมลการตลาดแบบเดียวกับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา สินค้าที่มีราคาสูงจะถูกแนะนำให้กับลูกค้าที่มีมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยสูง (AOV) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะซื้อมากกว่า สินค้าขายดีจะถูกนำเสนอให้เห็นเด่นชัดในอีเมลสำหรับลูกค้าที่ซื้อเพียงครั้งเดียว
การปรับแต่งอีเมลให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายโดยคำนึงถึงสิ่งที่ลูกค้าเคยซื้อมาก่อนและเพิ่มมูลค่าให้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อได้ 10-15% และทำได้ง่ายด้วยรายงานลูกค้าที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติจากระบบจัดการออเดอร์
รวมข้อมูลคำสั่งซื้อและการเงิน
การมีข้อมูลคำสั่งซื้อทั้งหมดอยู่ในที่เดียวเป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซคือการประเมินว่าคุณกำลังทำกำไรอยู่จริงหรือไม่ และถ้าใช่ กำไรมาจากที่ไหนและอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรให้มากขึ้น
ระบบจัดการออเดอร์ส่วนใหญ่มีความสามารถในการผสานการทำงานกับฟังก์ชันงานหลังบ้านอื่นๆ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ด้านการเงิน แพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลจากซอฟต์แวร์บัญชีของคุณเพื่อรวมข้อมูลสินค้าคงคลังและยอดขาย คุณจะสามารถเข้าใจถึงบัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสามารถสร้างใบแจ้งหนี้และคำสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องป้อนข้อมูลด้วยตนเอง
ซอฟต์แวร์ระบบจัดการออเดอร์ที่ดีที่สุด
ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาระบบจัดการออเดอร์ตัวแรก หรือต้องการเปลี่ยนจากที่ใช้อยู่ นี่คือ 4 ตัวเลือกที่ดีที่ควรพิจารณา
Shopify
Shopify คือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจรสำหรับการขยายแบรนด์ แพลตฟอร์มของเรามาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ในตัว ซึ่งคุณสามารถประมวลผลคำสั่งซื้อได้ทั้งจากหน้าร้าน จากร้านค้าออนไลน์ของคุณ หรือจากช่องทางการขายและตลาดอื่นๆ
นอกจากนี้ คุณยังสามารถติดตาม จัดการ และจัดส่งคำสั่งซื้อได้จากแดชบอร์ดส่วนกลางเพียงแห่งเดียว Shopify จะกำหนดเส้นทางการจัดส่งคำสั่งซื้อไปยังสถานที่จัดส่งที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ โดยอิงตามกฎการกำหนดเส้นทางการจัดส่งที่ผู้ขายตั้งไว้
นอกจากนี้ ระบบจัดการออเดอร์ของ Shopify ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ดังนี้
- การผสานการทำงานกับผู้ให้บริการขนส่งชั้นนำ เช่น USPS, UPS และ DHL
- อัตราค่าจัดส่งที่ลดราคา (ประหยัดได้สูงสุดถึง 88% เมื่อเทียบกับราคาปลีก)
- การอัปเดตสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ในทุกช่องทางการขาย
- รองรับการจัดส่งในพื้นที่และการรับสินค้าที่ร้าน
- ความสามารถในการจัดการสถานที่จัดส่งได้สูงสุด 1,000 แห่ง
- โซลูชันการจัดการการคืนสินค้าและการแลกเปลี่ยน
หนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จคือ Snarky Tea ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงการดำเนินงานด้านการจัดส่งสินค้าโดยใช้ระบบจัดการออเดอร์แบบในตัวของ Shopify
Snarky Tea ก่อตั้งโดย Jenni-Lyn Williams เติบโตจากธุรกิจขนาดเล็กไปสู่บริษัทขายตรงถึงผู้บริโภคที่มีผลิตภัณฑ์หลายร้อยรายการ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการประชาสัมพันธ์จาก Vogue รวมถึงงานประกาศรางวัลออสการ์ และ Shark Tank บริษัทจึงเผชิญกับความท้าทายในการจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่ง และการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการผสานการทำงานโซลูชันระบบจัดการออเดอร์ของ Shopify ทำให้ Snarky Tea ประสบความสำเร็จดังนี้
- ประหยัดค่าขนส่งได้เดือนละ 25,000 ดอลลาร์ ด้วยอัตราค่าบริการที่ลดลง
- ติดตามสินค้าคงคลังได้อย่างถูกต้องทั่วทั้งโรงงานผลิตและศูนย์จัดส่ง
- จัดส่งคำสั่งซื้อได้อย่างราบรื่น โดยใช้การพิมพ์ฉลากอัตโนมัติและเอกสารการจัดส่งของ USPS สำหรับการรับสินค้า
- ลดข้อผิดพลาดระหว่างการพิมพ์แบบเป็นชุด ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
- ประหยัดเวลาได้ปีละ 360 ชั่วโมง ด้วยการลดงานที่ต้องทำด้วยตนเองและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหลายระบบ
Jenni-Lyn ชมว่าระบบจัดการออเดอร์ของ Shopify เป็นตัวเปลี่ยนเกม โดยบอกว่า “การทำอะไรได้มากภายในระบบนิเวศของ Shopify นั้นมันดีมาก ช่วยลดปัญหาที่ไม่จำเป็นและช่วยให้เราจัดการทุกอย่างได้อย่างเป็นระบบ”
ShipHero
ShipHero เป็นอีกหนึ่งโซลูชันระบบจัดการออเดอร์สำหรับแบรนด์อีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโต แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นบนระบบคลาวด์ ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจจัดการสินค้าคงคลังได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงกระบวนการจัดส่ง ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม
นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกขนาดสามารถปรับแต่งเวิร์กโฟลว์ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของตนได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ShipHero ยังมีชุดเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการจัดการช่องทางการขายหลายช่องทาง การเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดเส้นทางการสั่งซื้อ และการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีเวลาและทรัพยากรเหลือใช้ไปกับโครงการอื่นๆ
ChannelApe IOMS
ChannelApe IOMS เป็นแพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับการจัดการสินค้าคงคลังเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถผสานรวมการขาย การจัดส่ง การเงิน และบริการลูกค้าเข้าด้วยกันได้ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ศูนย์ควบคุมภารกิจด้านการดำเนินงาน” ของบริษัท และนำเสนอแนวทางที่คล่องตัวพร้อมแดชบอร์ดที่ใช้งานง่าย เพื่อรวบรวมตัวชี้วัดต่างๆ แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการทำงานของธุรกิจได้อย่างครอบคลุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ChannelApe สามารถช่วยให้ธุรกิจมองเห็นภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถขยายการดำเนินงานและลดข้อผิดพลาดได้ นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ยังสามารถใช้เครื่องมือขั้นสูงสำหรับการจัดการสินค้าคงคลังและการสั่งซื้อ รวมถึงกฎต่างๆ ที่ควบคุมการระงับ การกำหนดเส้นทาง การแก้ไข การฉ้อโกง และอื่นๆ อีกมากมาย
Manhattan Associates
Manhattan Associates เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านห่วงโซ่อุปทานและการค้าแบบหลายช่องทาง พวกเขาเสนอโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินงานด้านห่วงโซ่อุปทาน การจัดการสินค้าคงคลัง และกระบวนการส่งมอบสินค้า
Manhattan Associates ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับแนวคิดการค้าแบบครบวงจร และโซลูชันบนคลาวด์ของพวกเขามุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในหลายด้านของการค้า ได้แก่ การรักษาพนักงาน การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีคลาวด์ การส่งมอบสินค้าผ่านหน้าร้าน การขนส่งและการกระจายสินค้า การส่งมอบสินค้าอย่างมีกำไร และการพยากรณ์สินค้าคงคลัง พวกเขาเป็นที่รู้จักในด้านความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีห่วงโซ่อุปทาน และพวกเขาสามารถจัดหาโซลูชันที่ปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจได้
ประโยชน์ของระบบจัดการออเดอร์ที่ดี
ระบบจัดการออเดอร์ที่ดีให้ข้อได้เปรียบหลายประการดังนี้
- เพิ่มความถูกต้องในการสั่งซื้อ: ระบบประมวลผลคำสั่งซื้ออัตโนมัติช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการจัดส่งและการส่งคืนสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายสูง
- เลือก บรรจุ และจัดส่งได้เร็วขึ้น: ระบุศูนย์จัดส่งที่ดีที่สุดที่มีสินค้าในคลังพร้อมขาย ปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้จัดส่งได้เร็วขึ้น
- ลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง: ผสานรวมกับผู้ให้บริการขนส่งชั้นนำทั่วโลก เสนออัตราส่วนลดที่เจรจาไว้ล่วงหน้าและลดความยุ่งยากในการพิมพ์ฉลาก
- รวมศูนย์การจัดการช่องทางการขาย: รวบรวมคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางไว้ในแดชบอร์ดเดียว ลดคำสั่งซื้อที่ตกหล่นหรือซ้ำซ้อน และปรับปรุงเวลาตอบสนองการบริการลูกค้า
- ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า: มีหน้าติดตามในตัวสำหรับการอัปเดตคำสั่งซื้อ เพิ่มความโปร่งใสและลดรีวิวเชิงลบที่เกิดจากการสื่อสารที่ไม่ดี
- ป้องกันสินค้าหมดและคาดการณ์สินค้าคงคลังได้: นำเสนอข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวโน้มการขายและผลิตภัณฑ์ยอดนิยม ช่วยให้สามารถคาดการณ์สินค้าคงคลังได้อย่างแม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงการมีสินค้ามากเกินไปหรือสินค้าหมด
ระบบจัดการออเดอร์จะเลือกวิธีจัดส่งที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดส่งเร็วขึ้นและลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น
Tanner Arnold, ประธานและ CEO ของ Revelation Machinery
ความท้าทายของระบบจัดการออเดอร์
ถึงแม้ระบบจัดการออเดอร์จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน และนี่คือ 3 ปัญหาที่ผู้ค้าปลีกต้องเจอ
- การผสานการทำงาน: การผสานการทำงานที่ซับซ้อนกับระบบเดิมอาจทำให้ข้อมูลไม่ตรงกันและเกิดความล่าช้า
- ความสามารถในการขยายขนาด: ระบบพื้นฐานอาจไม่รองรับการเติบโตของธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีโซลูชันที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อรองรับปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
- การปรับแต่ง: การปรับให้เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจเฉพาะอาจทำได้ยาก ซึ่งอาจขัดขวางประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษอาจประสบปัญหาในการใช้ระบบที่ไม่พร้อมสำหรับคำสั่งซื้อแบบกำหนดเองที่ซับซ้อน
วิธีเลือกระบบจัดการออเดอร์
มีหลายปัจจัยที่คุณควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ระบบจัดการออเดอร์ทั้งในแง่ของขั้นตอนการทำงานที่ระบบสามารถทำให้เป็นอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มที่มีอยู่ซึ่งสามารถผสานรวมเข้าด้วยกันได้
ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเลือกระบบจัดการออเดอร์อย่างละเอียด รวมถึงคุณสมบัติที่ควรพิจารณาในแพลตฟอร์มที่อยู่ในรายชื่อตัวเลือกของคุณ
1. กำหนดวัตถุประสงค์และลำดับความสำคัญ
ขั้นตอนแรกในการเลือกระบบจัดการออเดอร์คือการทำความเข้าใจว่าคุณต้องการใช้มันเพื่ออะไร ตรงนี้จะเหมือนกับการลงทุนในซอฟต์แวร์ประเภทใหม่ทั้งหมด จัดประชุมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในองค์กรเพื่อทำความเข้าใจคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งและคุณสมบัติที่ไม่จำเป็น
ตลอดการสนทนา อย่าลืมพิจารณาถึงความสามารถในการขยายขนาดและการวางแผนในอนาคต แผนการขยายธุรกิจของคุณมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ ในอุดมคติแล้ว คุณต้องการระบบจัดการออเดอร์ที่จะเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของคุณ
2. ร่างคำขอข้อเสนอ (RFP)
ผู้ให้บริการโซลูชันระบบจัดการออเดอร์จะส่งข้อเสนอที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ เป้าหมายของข้อเสนอแต่ละฉบับคือการทำให้คุณและผู้ให้บริการเข้าใจตรงกันในแง่ของข้อกำหนดทางเทคนิคและข้อจำกัดของระบบที่คุณต้องการนำไปใช้
เอกสารขอข้อเสนอ (RFP) ของคุณควรระบุรายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับวิธีการทำงานของระบบจัดการออเดอร์ที่คุณคาดหวัง โปรดให้ข้อมูลต่อไปนี้แก่ผู้ให้บริการเพื่อให้พวกเขาปรับแต่งข้อเสนอให้เหมาะกับธุรกิจของคุณได้
- ปริมาณคำสั่งซื้อ
- จำนวน SKU
- ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ที่คุณใช้
- ไทม์ไลน์สำหรับกระบวนการจัดหาระบบ
- รายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรมและการเปิดใช้งาน
3. ประเมินตัวเลือก
คุณอาจไม่พบผู้ให้บริการระบบจัดการออเดอร์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณตั้งแต่การติดต่อครั้งแรก ดังนั้นควรจัดทำรายชื่อผู้ให้บริการที่มีศักยภาพ 4-6 รายเพื่อประเมินผล ติดต่อผู้ให้บริการแต่ละรายเพื่อขอชมการสาธิตหรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์
ในระหว่างกระบวนการนี้ ให้ตรวจสอบผู้ให้บริการระบบจัดการออเดอร์แต่ละรายตามรายการตรวจสอบต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
- ระบบจัดการออเดอร์ของพวกเขาสามารถลดขั้นตอนการทำงานด้วยตนเอง เช่น การสร้างใบสั่งซื้อสินค้า ผ่านการทำงานอัตโนมัติของเวิร์กโฟลว์ได้หรือไม่?
- ช่วยให้คุณจัดการการขายผ่านหลายช่องทาง สกุลเงิน และภูมิภาคได้หรือไม่?
- รองรับคลังสินค้าหลายแห่งหรือไม่?
- ให้ข้อมูลอัปเดตสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์หรือไม่?
- มีระบบรายงานและการพยากรณ์ที่ช่วยให้คุณระบุปัญหาและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้นหรือไม่?
- ให้คุณเข้าถึง API ที่ช่วยให้คุณสร้างนวัตกรรมได้ตามต้องการหรือไม่?
- รองรับการผสานรวมภายในและจากภายนอกเข้ากับระบบนิเวศห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น (เช่น การบัญชี การจัดการคลังสินค้า การจัดส่ง 3PL เป็นต้น) หรือไม่?
- แพลตฟอร์มหยุดนิ่งหรือมีการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องหรือไม่?
เป็นไปได้ยากที่จะหาผู้ให้บริการที่ตรงกับความต้องการ 100% การเลือกขั้นสุดท้ายของคุณจะขึ้นอยู่กับเกณฑ์การแลกเปลี่ยนหลายประการ
คุณสมบัติและฟังก์ชันเพียงอย่างเดียวไม่ควรเป็นเกณฑ์ในการเลือก คุณควรคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจโดยรวมด้วย ทีมงานของผู้ให้บริการให้ความช่วยเหลือดีหรือไม่? พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตนหรือไม่? และพวกเขากำลังพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบทางเลือกในการขยายและเติบโตให้กับลูกค้าหรือไม่?
ระบบจัดการออเดอร์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณควรตอบโจทย์เหล่านี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ค้นหาระบบจัดการออเดอร์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
การเลือกใช้ระบบจัดการออเดอร์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจโดยไม่คิดอะไรเลย ระบบที่เหมาะสมมีศักยภาพที่จะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้าของคุณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำอีก
จัดทำรายชื่อตัวเลือกที่คุณสนใจ ประเมินว่าตัวเลือกเหล่านั้นมีคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับทีมงานของคุณหรือไม่ และขอคำแนะนำจากผู้ขายเกี่ยวกับการใช้งานระบบจัดการออเดอร์
อาจต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว แต่คุณจะเห็นผลกระทบเชิงบวกของการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งซื้อทั้งหมด การดำเนินการตามคำสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ และการให้ข้อมูลอัปเดตการจัดส่งแบบเรียลไทม์แก่ลูกค้าภายในแพลตฟอร์มส่วนกลางแห่งเดียวในไม่ช้า
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบจัดการออเดอร์
ระบบจัดการออเดอร์หมายถึงอะไรในการค้าปลีก?
ระบบจัดการออเดอร์หมายถึงเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ค้าปลีกติดตามคำสั่งซื้อ สินค้าคงคลัง และการจัดส่งสินค้า โดยระบบจัดการออเดอร์สำหรับธุรกิจค้าปลีกบางระบบยังช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ตรวจสอบบุคลากร กระบวนการ และความร่วมมือของตนได้ด้วย
ทำไมระบบจัดการออเดอร์จึงสำคัญ?
ระบบจัดการออเดอร์มีความสำคัญ เพราะระบบนี้ช่วยทำให้กระบวนการทำงานด้วยมือเป็นไปโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับซอฟต์แวร์อื่นๆ จึงช่วยลดข้อผิดพลาด ประหยัดเวลา และเพิ่มผลผลิต ซึ่งสามารถช่วยประหยัดและสร้างรายได้ให้ผู้ค้าปลีกได้มากขึ้น
คุณสมบัติของระบบจัดการออเดอร์มีอะไรบ้าง?
ระบบจัดการออเดอร์โดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อแบบรวมศูนย์ ช่องทางการชำระเงินหลายช่องทาง การจัดการสินค้าคงคลัง การผสานการทำงานกับการจัดส่งและขนส่ง การจัดการลูกค้า และความสามารถในการซิงค์กับแพลตฟอร์มการช้อปปิ้งของผู้ค้าปลีก
กระบวนการจัดการออเดอร์คืออะไร?
กระบวนการสั่งซื้อทั่วไปที่ระบบจัดการออเดอร์สามารถช่วยจัดการได้นั้น เริ่มต้นด้วยลูกค้าสั่งซื้อสินค้า หากการชำระเงินสำเร็จ คลังสินค้าจะได้รับคำสั่งซื้อ จากนั้นสินค้าจะถูกหยิบ บรรจุ และจัดส่งไปยังลูกค้า กระบวนการสั่งซื้อยังอาจรวมถึงการวัดประสิทธิภาพของกระบวนการและความพึงพอใจของลูกค้าได้อีกด้วย


